วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์การขายของเซียน : Peter Lynch

PETER LYNCH
ONE UP ON WALL STREET


  Peter Lynch เป็นนักลงทุนที่มีแนวคิดในการลงทุนคือ ท่านจะจำแนกหุ้นออกเป็นกลุ่มก่อน โดยเหตุผลก็คือหุ้นแต่ละกลุ่มจะมีอัตราการเจริญเติบโตและลักษณะเฉพาะที่แตก ต่างกันไป(ซึ่งวิธีการแบ่ง จะยังไม่กล่าวถึงในที่นี้) ดังนั้นหุ้นแต่ละกลุ่มจะใช้กลยุทธ์การจัดการต่างกันไป ไม่ว่าการเข้าซื้อ การติดตาม ระยะเวลาการถือครอง ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ และการกำหนดกลยุทธ์การขายก็แตกต่างกันไปด้วย  ลินช์ แบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มๆดังนี้
  1)หุ้นโตช้า
  2)หุ้นแข็งแกร่ง
  3)หุ้นวัฏจักร
 4)หุ้นโตเร็ว
                                    5)หุ้นฟื้นตัว
                                    6)หุ้นทรัพย์สินมาก

 ปราชญ์ ลินช์ ท่านมีแนวความคิดในเรื่องการขายในหุ้นแต่ละกลุ่มว่า
1)หุ้นโตช้า
 ขายเมื่อ
 - ราคาขึ้นไป30-50 % หรือ
 - พื้นฐานของบริษัทนั้นเสื่อมทรามลง หรือ
 - มีสัญญาณบางอย่างเช่น
     1.1)บริษัทสูญเสีย market share 2ปีติดต่อกัน และกำลังจ้างบริษัทโฆษณาแห่งใหม่
    1.2)หากินกับบุญเก่า ไม่มีการพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ และงบ r&d ก็ถูกตัดทอนลง
    1.3)ซื้อกิจการใหม่เพิ่มสองแห่งโดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม (diworsification,กระจายความเสียหาย)
   1.4)บริษัทได้จ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อกิจการ ทำให้งบดุลเสื่อมทรามลง จากเคยมีเงินสดเหลือมาก กลายเป็นว่ามีหนี้เพิ่มจำนวนมาก และไม่มีเงินสดเหลือที่จะซื้อหุ้นคืนแม้ว่าราคาหุ้นของตัวเองตกลงอย่างหนัก
  1.5)แม้ราคาหุ้นจะต่ำลงแต่ dividend yield ก็ยังไม่สูงพอที่จะดึงดูดใจนักลงทุน

2)หุ้นแข็งแกร่ง
 - หลักการคืออย่าถือเพื่อคาดหวังผลตอบแทน10เด้งจากหุ้นกลุ่มนี้ 
 - หากราคาวิ่งเหนือเส้นกำไรพอสมควรก็ขาย  หรือ
 - ค่าp/e วิ่งฉีกห่างจากช่วงปกติมากๆ ก็ขาย  หรือ
 - มีสัญญาณ ดังต่อไปนี้
  2.1)ออก new product  มาแล้ว2ปีแล้วยังไม่ work และสินค้าหรือบริการตัวอื่นยังอยู่ในช่วงทดสอบคงใช้เวลาอีกนานเป็นปีจึงจะ เห็นผล แบบนี้ก็ขาย หรือ
  2.2)หุ้นราคาขึ้นไปถึง p/e 15เท่า ในขณะที่หุ้นในกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงหรืออยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันมีค่า p/e แค่11-12เท่า  แบบนี้ก็ขายซะ
  2.3)ไม่มีพนักงานหรือกรรมการ หรือผู้บริหารซื้อหุ้นเลยในปีที่แล้ว  หรือ
 2.4)business unit ที่สร้างกำไรหลัก25 % กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง หรือแนวโน้มถดถอย
 2.5)แม้ว่าจะลดต้นทุนแล้วแต่ growth rate ยังชะลอตัวลง และยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร

  3)หุ้นกลุ่มวัฏจักร
 - หลักการคือขายให้ใกล้เคียงจุดสูงสุดของวัฏจักร
 - พวกกองหน้าที่รู้ดีเริ่มขาย สังเกตจากราคาของหุ้นเริ่มตกต่ำแบบไม่ค่อยมีเหตุผล p/e ratio อยู่ในระดับต่ำ
 - เริ่มมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มแย่ลงเช่น ต้นทุนการผลิตเริ่มเพิ่มขึ้น กำลังการผลิตเริ่มเต็ม และบริษัทต้องใช้เงินในการขยายกำลังการผลิต
 - สินค้าคงคลังเริ่มเพิ่มขึ้น  ราคาสินค้าเริ่มต่ำลง และกำไรเริ่มลดลง
 - สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นเหล็กและน้ำมัน   ราคาในตลาดล่วงหน้าจะเริ่มต่ำกว่าราคาปัจจุบัน และราคา spot
 - เริ่มมี สงครามราคา ออกกลยุทธ์ทางการตลาดลดแลกแจกแถมให้เห็น
  - ความต้องการสินค้าปลายทางสำหรับสินค้าเริ่มชะลอตัวลง
 - บริษัทเพิ่มงบลงทุนเป็นสองเท่าสร้างโรงงานใหญ่หรูหรา แทนที่จะปรับปรุงโรงงานเก่าด้วยต้นทุนต่ำ
 - บริษัทพยายามลดต้นทุนลงแล้วแต่ยังสู้คู่แข่งไม่ได้

4)หุ้นโตเร็ว
 - เคล็ดลับการขายคือพยายามไม่พลาดโอกาส10เด้ง และขายให้ใกล้จุดสิ้นสุดของช่วงที่สองของการเจริญเติบโต( s -curve)
 - อย่าบริษัทพลาดและกำไรหด ค่า p/e ที่นักลงทุนไล่ราคาขึ้นไป จะกลายเป็น2เด้งที่ราคาแพงสำหรับนักลงทุนที่จงรักภักดีต่อบริษัทที่ถือ
 - นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำให้ซื้อในระดับสูงสุด
 - 60%ของหุ้นถูกถือโดยนักลงทุนสถาบัน
- magazine ที่มีชื่อเสียงระดับชาติต่างพร้อมใจออกมาชื่นชม ซีอีโอของบริษัท ว่าเจ๋ง
-  ค่า p/e สูงขึ้นจนดูน่าขันและไม่มีเหตุผล
- ยอดขายร้านเดิมลดลง3%ในไตรมาสสุดท้าย
- ยอดขายร้านใหม่ก็น่าผิดหวัง
- ผู้บริหารสูงสุด2คน และพนักงานหลายคนย้ายไปทำงานให้กับบริษัทคู่แข่ง
- หุ้นมีการซื้อขายกันที่ p/e30เท่า ขณะที่การประมาณการที่ดีที่สุดบริษัทจะกำไรโตได้15-20เท่าในช่วง2ปีข้างหน้า

5)หุ้นฟื้นตัว
- ขาย ณ.จุดที่มันฟื้นตัวสมบูรณ์แล้ว คือผ่านปัญหาทุกอย่างแล้ว ทุกคนในตลาดรับรู้ว่ามันฟื้นตัวสำเร็จแล้ว และมันกลับมาเป็นบริษัทที่มันเคยเป็นแล้ว
- หลังจากฟื้นตัวแล้ว ก็จัดกลุ่มใหม่
- หนี้สินที่ได้ลดลงติดต่อกัน5ไตรมาส เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสล่าสุด
- อัตราการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังเป็น2เท่าของการเติบโตของยอดขาย
- ค่า p/e สูงเกินไปเมื่อเทียบกับการคาดการของกำไร
- ลูกค้าของบริษัทรายใหญ่กำลังประสบปัญหายอดขายตกต่ำ

6)หุ้นสินทรัพย์มาก- ถือรอน่าล่า กิจการ
- ผู้บริหารประกาศว่าจะเพิ่มทุน เพื่อเอาเงินไปซื้อกิจการอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง
- ขายแผนกงานสำคัญของบริษัทขายได้ราคาต่ำกว่าที่ควร
- นักลงทุนสถาบันถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก25%เป็น60 %

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น