ONE UP ON WALL STREET
Peter Lynch เป็นนักลงทุนที่มีแนวคิดในการลงทุนคือ ท่านจะจำแนกหุ้นออกเป็นกลุ่มก่อน โดยเหตุผลก็คือหุ้นแต่ละกลุ่มจะมีอัตราการเจริญเติบโตและลักษณะเฉพาะที่แตก ต่างกันไป(ซึ่งวิธีการแบ่ง จะยังไม่กล่าวถึงในที่นี้) ดังนั้นหุ้นแต่ละกลุ่มจะใช้กลยุทธ์การจัดการต่างกันไป ไม่ว่าการเข้าซื้อ การติดตาม ระยะเวลาการถือครอง ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ และการกำหนดกลยุทธ์การขายก็แตกต่างกันไปด้วย ลินช์ แบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มๆดังนี้
1)หุ้นโตช้า
2)หุ้นแข็งแกร่ง
3)หุ้นวัฏจักร
4)หุ้นโตเร็ว
5)หุ้นฟื้นตัว
6)หุ้นทรัพย์สินมาก
ปราชญ์ ลินช์ ท่านมีแนวความคิดในเรื่องการขายในหุ้นแต่ละกลุ่มว่า
1)หุ้นโตช้า
ขายเมื่อ
- ราคาขึ้นไป30-50 % หรือ
- พื้นฐานของบริษัทนั้นเสื่อมทรามลง หรือ
- มีสัญญาณบางอย่างเช่น
1.1)บริษัทสูญเสีย market share 2ปีติดต่อกัน และกำลังจ้างบริษัทโฆษณาแห่งใหม่
1.2)หากินกับบุญเก่า ไม่มีการพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ และงบ r&d ก็ถูกตัดทอนลง
1.3)ซื้อกิจการใหม่เพิ่มสองแห่งโดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม (diworsification,กระจายความเสียหาย)
1.4)บริษัทได้จ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อกิจการ ทำให้งบดุลเสื่อมทรามลง จากเคยมีเงินสดเหลือมาก กลายเป็นว่ามีหนี้เพิ่มจำนวนมาก และไม่มีเงินสดเหลือที่จะซื้อหุ้นคืนแม้ว่าราคาหุ้นของตัวเองตกลงอย่างหนัก
1.5)แม้ราคาหุ้นจะต่ำลงแต่ dividend yield ก็ยังไม่สูงพอที่จะดึงดูดใจนักลงทุน
2)หุ้นแข็งแกร่ง
- หลักการคืออย่าถือเพื่อคาดหวังผลตอบแทน10เด้งจากหุ้นกลุ่มนี้
- หากราคาวิ่งเหนือเส้นกำไรพอสมควรก็ขาย หรือ
- ค่าp/e วิ่งฉีกห่างจากช่วงปกติมากๆ ก็ขาย หรือ
- มีสัญญาณ ดังต่อไปนี้
2.1)ออก new product มาแล้ว2ปีแล้วยังไม่ work และสินค้าหรือบริการตัวอื่นยังอยู่ในช่วงทดสอบคงใช้เวลาอีกนานเป็นปีจึงจะ เห็นผล แบบนี้ก็ขาย หรือ
2.2)หุ้นราคาขึ้นไปถึง p/e 15เท่า ในขณะที่หุ้นในกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงหรืออยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันมีค่า p/e แค่11-12เท่า แบบนี้ก็ขายซะ
2.3)ไม่มีพนักงานหรือกรรมการ หรือผู้บริหารซื้อหุ้นเลยในปีที่แล้ว หรือ
2.4)business unit ที่สร้างกำไรหลัก25 % กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง หรือแนวโน้มถดถอย
2.5)แม้ว่าจะลดต้นทุนแล้วแต่ growth rate ยังชะลอตัวลง และยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร
3)หุ้นกลุ่มวัฏจักร
- หลักการคือขายให้ใกล้เคียงจุดสูงสุดของวัฏจักร
- พวกกองหน้าที่รู้ดีเริ่มขาย สังเกตจากราคาของหุ้นเริ่มตกต่ำแบบไม่ค่อยมีเหตุผล p/e ratio อยู่ในระดับต่ำ
- เริ่มมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มแย่ลงเช่น ต้นทุนการผลิตเริ่มเพิ่มขึ้น กำลังการผลิตเริ่มเต็ม และบริษัทต้องใช้เงินในการขยายกำลังการผลิต
- สินค้าคงคลังเริ่มเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเริ่มต่ำลง และกำไรเริ่มลดลง
- สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นเหล็กและน้ำมัน ราคาในตลาดล่วงหน้าจะเริ่มต่ำกว่าราคาปัจจุบัน และราคา spot
- เริ่มมี สงครามราคา ออกกลยุทธ์ทางการตลาดลดแลกแจกแถมให้เห็น
- ความต้องการสินค้าปลายทางสำหรับสินค้าเริ่มชะลอตัวลง
- บริษัทเพิ่มงบลงทุนเป็นสองเท่าสร้างโรงงานใหญ่หรูหรา แทนที่จะปรับปรุงโรงงานเก่าด้วยต้นทุนต่ำ
- บริษัทพยายามลดต้นทุนลงแล้วแต่ยังสู้คู่แข่งไม่ได้
4)หุ้นโตเร็ว
- เคล็ดลับการขายคือพยายามไม่พลาดโอกาส10เด้ง และขายให้ใกล้จุดสิ้นสุดของช่วงที่สองของการเจริญเติบโต( s -curve)
- อย่าบริษัทพลาดและกำไรหด ค่า p/e ที่นักลงทุนไล่ราคาขึ้นไป จะกลายเป็น2เด้งที่ราคาแพงสำหรับนักลงทุนที่จงรักภักดีต่อบริษัทที่ถือ
- นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำให้ซื้อในระดับสูงสุด
- 60%ของหุ้นถูกถือโดยนักลงทุนสถาบัน
- magazine ที่มีชื่อเสียงระดับชาติต่างพร้อมใจออกมาชื่นชม ซีอีโอของบริษัท ว่าเจ๋ง
- ค่า p/e สูงขึ้นจนดูน่าขันและไม่มีเหตุผล
- ยอดขายร้านเดิมลดลง3%ในไตรมาสสุดท้าย
- ยอดขายร้านใหม่ก็น่าผิดหวัง
- ผู้บริหารสูงสุด2คน และพนักงานหลายคนย้ายไปทำงานให้กับบริษัทคู่แข่ง
- หุ้นมีการซื้อขายกันที่ p/e30เท่า ขณะที่การประมาณการที่ดีที่สุดบริษัทจะกำไรโตได้15-20เท่าในช่วง2ปีข้างหน้า
5)หุ้นฟื้นตัว
- ขาย ณ.จุดที่มันฟื้นตัวสมบูรณ์แล้ว คือผ่านปัญหาทุกอย่างแล้ว ทุกคนในตลาดรับรู้ว่ามันฟื้นตัวสำเร็จแล้ว และมันกลับมาเป็นบริษัทที่มันเคยเป็นแล้ว
- หลังจากฟื้นตัวแล้ว ก็จัดกลุ่มใหม่
- หนี้สินที่ได้ลดลงติดต่อกัน5ไตรมาส เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสล่าสุด
- อัตราการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังเป็น2เท่าของการเติบโตของยอดขาย
- ค่า p/e สูงเกินไปเมื่อเทียบกับการคาดการของกำไร
- ลูกค้าของบริษัทรายใหญ่กำลังประสบปัญหายอดขายตกต่ำ
6)หุ้นสินทรัพย์มาก- ถือรอน่าล่า กิจการ
- ผู้บริหารประกาศว่าจะเพิ่มทุน เพื่อเอาเงินไปซื้อกิจการอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง
- ขายแผนกงานสำคัญของบริษัทขายได้ราคาต่ำกว่าที่ควร
- นักลงทุนสถาบันถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก25%เป็น60 %
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น