วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทำไมไม่ใช้ P/BV

เขียนโดยคุณ yoyo แห่ง thaivi.com ครับ
 
1. ผมไม่ได้ใช้ p/bv ในการประเมินความถูกความแพงของหุ้นครับ ผมว่ามันมีจุดอ่อนอยู่พอสมควร เพราะอะไรครับ ลองมาดูกัน
- ผมชอบใช้ p/e กับ roe ในการประเมินราคาหุ้น
- แล้ว p/bv มันไม่ดียังไง ... ต้องมาดูที่ความสัมพันธ์ของอัตราส่วนทั้ง 3 ตัว ว่ามันเชื่อมโยงกันยังไง
  roe = กำไร / ส่วนผู้ถือหุ้น = (กำไร/จำนวนหุ้น) / (ส่วนผู้ถือหุ้น/จำนวนหุ้น) = eps / bv
 p/e * eps/bv = p/bv
 p/e * roe = p/bv
- p/e น้อยๆก็คือถูก เพราะฉะนั้นเราชอบให้ p/e ต่ำๆ
- roe เยอะๆเค้าว่าดี เพราะเป็น ratio ที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
- p/bv เค้าบอกว่าน้อยๆดีเพราะ ถูกเมื่อเทียบกับ มูลค่าสินทรัพย์หลังคืนหนี้ให้หมด
p/e กับ p/bv นั้นอยู่คนละฝั่งของสมการ ยิ่งน้อยยิ่งดีทั้งคู่ เพราะฉะนั้น 2 ratio นี้ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ roe กับ p/bv นี่สิ ถ้าเราอยากได้ roe สูง p/bv ก็ต้องสูงด้วย แต่ถ้าเราอยากซื้อหุ้นที่ p/bv ต่ำๆ เราก็จะได้ roe ต่ำๆมาด้วย จะเห็นว่า 2 ratio นี้มันขัดแย้งกันเสมอ เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกเพียง 1 ratio เท่านั้น คือ จะเอา roe สูงๆ หรือจะเอา p/bv ต่ำ จะเลือกให้ 2 ค่ามันดีทั้งคู่ไม่ได้ สุดท้ายผมเลือกเอา roe สูงไว้ก่อนครับ p/bv จะเป็นยังไงผมเฉยๆ
ตรงนี้ต้องท้าวความไปที่ท่านเทพทาง VI ก่อน ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ลุงบัฟเฟตของเรานี่เอง .. ในช่วงแรกๆของการลงทุน บัฟเฟตนั้น เป็นลูกศิษย์ที่ดีของ อ.เกรแฮมครับ คือ อ.สอนว่าให้เลือกหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับสินทรัพย์สุทธิของบริษัท ซึ่ง ratio ตัวหนึ่งที่ช่วยบอกได้คร่าวๆคือ p/bv 
บัฟเฟตใช้แนวทางนี้อยู่พักนึงก็พอจะสามารถทำกำไรได้ แต่หลังจากเวลาผ่านไป บัฟเฟตก็เกิดการพัฒนาทางความคิด บวกกับการได้มาพบกับ คู่หู ชาลี มังเกอร์ ที่สอนให้ลุงบัฟรู้จักและเข้าใจการซื้อที่มองถึงคุณภาพของธุรกิจที่จะสามารถ สร้างกระแสเงินสดในอนาคต มากกว่าการมองที่มูลค่าสินทรัพย์ที่เห็นในบัญชี ... ซึ่ง ratio ที่แสดงถึงคุณภาพของธุรกิจได้ดีก็คือ roe นั้นเอง... หลังจากนั้นมาแนวทางการซื้อหุ้น ซื้อธุรกิจของบัฟเฟตก็ค่อนๆเปลี่ยนไป see's candy เองก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการ Shift จาการใช้ p/bv มาเป็น roe ของบัฟเฟตได้ดีตัวหนึ่ง

2. roe ถ้าจะเอามาใช้ก็ต้องใช้ให้ถูกด้วยครับ อย่าดูเพิ่งแค่ค่า roe เพียงปี 2 ปี เราควรจะใช้ roe หลายๆปีมาประเมิน และให้ตัดปีที่ abnormal ออกด้วย ถ้าบริษัทมี roe สม่ำเสมออยู่ที่ค่าหนึ่งๆเป็นเวลานานๆ และณ ปัจจุบันบริษัทนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ เราก็พอจะประเมินได้ว่า roe เฉลี่ยของบริษัทนั้นๆอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แต่ถ้าบริษัทนั้นมี roe ไม่สม่ำเสมอ การประเมินด้วย roe ก็อาจจะดูยากสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราตัดปีที่ abnormal ออกแล้ว แต่ roe ของบริษัทนั้นๆยังผันผวนอยู่มาก ผมว่าธุรกิจนั้นอาจจะยากเกินความสามารถที่เราจะคาดเดาอนาคตได้แล้วล่ะครับ

3. บริษัทใหญ่มีโอกาสโตน้อยกว่าบริษัทเล็ก... ก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่หลายส่วนก็อาจจะไม่ใช่ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจซื้อหุ้นโดยมองที่ขนาดนั้นผมว่าไม่ควรครับ และการที่ svi เคยขึ้นไปถึง 2.8 แล้วลงมา 2.08 ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทมี upside เยอะ การจะดู upside มันต้องดูที่ผลกำไรที่จะเกิดขึ้นเทียบกับราคาที่ซื้อวันนี้ ราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร

4. อันนี้ผมเห็นด้วยครับ p/e เป็นตัวบอกความถูกความแพง roe บอกประสิทธิภาพในการสร้างกำไร ส่วน d/e เป็นตัวบอกความเสี่ยงทางด้านการเงิน ที่ผมชอบดูตัวหนึ่ง แต่บางโอกาสผมก็ซื้อหุ้นที่ d/e สูงๆเหมือนกันคับ .. 3 เท่ายังซื้อเลย ถ้าผมเชื่ออย่างมั่นใจได้ว่าค่า d/e นั้นกำลังจะลดลงในอนาคตอันใกล้

5. ดูหนี้ก็เยอะจริงๆครับ ถ้าผลงานสะดุดเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยกินจะกำไรหด หรืออาจจะถึงขาดทุนได้ง่ายๆเหมือนกัน ก็ดูเสี่ยงๆนิดหน่อย ผมดู p/e ก็ดูไม่ได้ถูก หนี้ก็เยอะ ทำไมถึงซื้อตัวนี้ละครับ

สุดท้าย comment เรื่องการอ่านบทวิเคราะห์...
เวลาใช้บทวิเคราะห์ให้ใช้ ข้อมูลที่เป็น Fact เสมอครับ พวกราคาเป้าหมาย กับ upside นั้นเป็นข้อมูลเชิงความคิดเห็น ควรหลักเลี่ยงอย่างยิ่ง อย่าให้ร่ายเลยนะครับว่าทำไมถึงไม่ควรใช้ความคิดเห็นเรื่องราคาจากนัก วิเคราะห์.. เดี๋ยวจะยาวเกินไป... สรุปสั้นๆว่าบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นนั้นประกอบไปด้วย Bias ค่อนข้างสูง มันจะผันผวนไปตามราคาตลาดของหุ้นนั้นๆ รวมถึงสภาวะของตลาดช่วงนั้นๆด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าคิดมาแล้วว่าดี ถึงดู upside จากบทวิเคราะห์จะไม่เยอะก็ไม่ควรไปสนใจครับ เชื่อตัวเองดีที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น