เครดิต thaivi.com ครับ
เมื่อก่อนผมใช้วิธีอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ เคยเจอข่าว "ค่าระวางเรือสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์" ข่าวแบบนี้ก็จะช่วยให้เราสะดุดตาและเริ่มให้ความสนใจ
ผมยังเคยเจอข่าว "วัสดุก่อสร้างขาดตลาดอย่างหนัก ผู้รับเหมาร้องขอเลื่อนส่งงาน" ข่าวแบบนี้ก็จะทำให้เราเริ่มสนใจวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
แต่ปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าการใช้วิธีเดิมๆจะค่อนข้างช้า หมายความว่าเรารู้ตอนที่ใครๆก็รู้ และรู้กันทั้งประเทศแล้ว และราคาหุ้นมักจะปรับตัวกันไปบ้างแล้วแม้บางตัวอาจจะแพงไป บางตัวอาจจะยังถูก แต่ก็ถือว่าช้าอยู่ดี ปัจจุบันนี้เราจึงต้องดักหน้าก่อน พยายามมองให้ออกก่อน เราถึงจะได้เปรียบแบบมากๆหน่อย
จากการศึกษา วิธีที่จะดักหน้ากลุ่มนี้เราควรจะรู้เสียก่อนว่ากลุ่มนี้ทั้งหมดนั้นประกอบ ไปด้วยอะไรบ้าง เท่าที่ดูๆผมจะแบ่งกลุ่มเพื่อให้สังเกตุง่ายๆพร้อมคุณสมบัติและโทษสมบัติ แต่ละกลุ่มดู
วัฏจักรแบบท้องถิ่น หมายถึงในประเทศครับ
เช่น อสังหา วัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ หลักทรัพย์ โรงพยาบาล
- ความถี่ เกิดขึ้นได้บ่อยๆ วงจรสั้น ความรุนแรงน้อย
- ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อเงินฝืดในประเทศ
- ความแม่นยำในการพยากรณ์ มีน้อย เพราะขึ้นกับทำเล อุปสงค์/อุปทาน ในประเทศด้วย และการเปลี่ยนแปลงใดๆมีผลกระทบต่อการพยากรณ์มาก
วัฏจักรสากล
เช่น เดินเรือ โลหะ กระดาษ ปิโตรเคมี หลักทรัพย์
- ความถี่ วงจรค่อนข้างยาว เกิดขึ้นนานๆครั้ง ความรุนแรงมาก(ได้กำไรมาก อิอิ)
- ขึ้นกับสัดส่วนอุปสงค์/อุปทานของโลก
- ความแม่นยำในการพยากรณ์ มีมาก เพราะไม่ขึ้นกับทำเล ไม่ขึ้นกับอุปสงค์/อุปทานในประเทศนัก และการเปลี่ยนแปลงใดๆมีผลกระทบต่อการพยากรณ์น้อย เพราะตลาดโลกมีขนาดใหญ่มาก
ปล. กลุ่มหลักทรัพย์นั้นผมจัดให้อยู่ทั้งสองกลุ่มเพราะคิดว่าไม่ตรงกับอันใดอัน หนึ่งเสียทีเดียว ส่วนกลุ่มยานยนต์นั้นอาจจะเริ่มเข้าสู่กลุ่มที่สองถ้าสัดส่วนการส่งออก ค่อยๆสูงขึ้นอย่างในปัจจุบัน
วิธีเลือกจังหวะซื้อขาย
ปีเตอร์ ลินช์ เคยบอกว่าให้ซื้อตอน p/e สูงๆ และขายตอน p/e ต่ำๆ หลักการอันนี้ดูจะกลับตาลปัตรกับหุ้นเติบโตหรือแม้แต่หุ้นทั่วๆไป แต่เป็นเรื่องจริงครับ
แต่ถ้าเรายึดตามตัวอักษรเป๊ะๆ เราอาจจะไปซื้อตอนช่วงกลางๆของวัฏจักรก็ได้ เพราะช่วงนั้น p/e ก็สูงเช่นเดียวกัน และถ้าวัฏจักรเต็มๆมีระยะเวลา 20 ปี เราก็ต้องรอตั้งสิบปีกว่าจะถึงขาขึ้น รอกันจนหน้าเหี่ยวพอดีและก็เสียโอกาสในการทำเงินไม่ใช่น้อยๆเรย......จึง ต้องศึกษาเพิ่มเติมเสียหน่อย
ผลการศึกษา พบว่า
1. เราใช้วิธีดักหน้าไว้ก่อนเลย เช่นเรารู้วงจรของธุรกิจว่าใช้เวลากี่ปีๆ เราก็คำนวณไปล่วงหน้าว่าอีกกี่ปีจึงจะถึงรอบขาขึ้น แล้วเราก็จ้องตลอดว่ามัน “ใช่ ” หรือยัง
2. สัญญาณที่บอกว่า “ใช่ ” ก็เช่น บริษัทเริ่มได้กำไรมากขึ้น และมากขึ้นอย่างชัดเจนด้วยนะ
3. เช็คข่าวว่าบริษัทอื่นที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ได้กำไรมากขึ้นเหมือนกันหรือเปล่า (ถ้าเป็นกลุ่มสากลมักจะได้กำไรไปด้วยกัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มท้องถิ่นจะยากหน่อย อาจจะค่อยๆทยอยกันมาก็ได้)
4. เช็คยอดขาย อันนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ร่วมกับสต็อคสินค้าเริ่มลดลง
5. เช็คบทวิเคราะห์ทั่วโลก(กลุ่มท้องถิ่นจะทำแบบนี้ไม่ได้ แต่กลุ่มสากลจะทำได้ง่าย และงานนี้จะไม่มีใครเป็น inside ตัวจริง ทุกคนจะพอๆกันเป็นการลดความเสียเปรียบ)
6. บทวิเคราะห์ที่ว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อน เพราะนักวิเคราะห์เองก็อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน(ระแวงไว้หน่อยก็ดีครับ) เขาอาจจะใช้ความเห็นมากกว่าข้อเท็จจริงก็ได้ หรืออาจจะใช้ข้อเท็จจริงแต่นำเสนอข้อเท็จจริงไม่หมด หรือจริงๆแล้วเจตนาบริสุทธิ์แต่รู้ไม่หมด ไม่รอบด้านพอ จึงต้องเช็คงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาด้วยจะเชื่อถือได้มากกว่า
ดักหน้าหมายถึงใช้วิธีจ้องไว้ก่อนอ่ะครับ ไม่ถึงกับซื้อดัก เพราะถ้าซื้อแล้วปรากฏว่ายังไม่ใช่ของจริงเราอาจจะขาดทุนก็ได้ (เพราะระยะเวลาของวงจรเหล่านี้ไม่ถึงกับเป็นตัวเลขเดิมเป๊ะๆ สามารถคลาดเคลื่อนได้พอสมควรครับ)
พองบออกครั้งที่ 1. ถ้าปรากฏว่าเป็นไปตามคาด เราสามารถเริ่มกระบวนการข้อ 2-6 ได้เลย อาจจะไม่ต้องรองบQที่ 2 ,3
โดยส่วนใหญ่ช่วงนี้ราคาหุ้นมักจะยังไม่ขึ้นมากครับ
ถ้าเป็นปีเตอร์ ลินช์ เขาอาจจะรอให้ราคาขึ้นไปหนึ่งเด้งเสียก่อนเพื่อความชัวร์แล้วค่อยไล่ซื้อครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น